[ มีคลิป ] พรมแดนไม่กั้นวิถีของเรา ไทย-กัมพูชา | HUG HOUSE [สุขนี้ที่บ้านเรา]
เรื่อง-ภาพ โดย ขวัญชิต โพธิ์กระสังข์
ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง
จะด้วยภาระหน้าที่หรือด้วยความเห็นอกเห็นใจของนักเดินทางชวนร่วมออกไปด้วยกันก็ตาม
นั่นคือทุกครั้งที่อยากเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ดี ๆ ไว้ให้มากที่สุด เพราะถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับชีวิตที่ได้พบเจอ
ได้เห็นผู้คน ได้พูดคุยและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันด้วย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ได้นำชีวิตออกก้าวไปสู่พรมแดนอีกประเทศหนึ่งที่ห่างจากบ้านเกิดไม่เกิน 100
กิโลเมตร ซึ่งโดยส่วนตัวไม่เคยคิดว่ามันเป็นอีกประเทศหนึ่งเลยก็ตาม เราสื่อสารกันคนละภาษาก็จริง
ทว่าผมกลับรู้สึกว่า นี่ก็คืออีกภาษาที่ผมรับรู้เรื่องราวนั้น ๆ
ที่เอ่ยถึงคือ
ราชอาณาจักรกัมพูชา
ภูมิเดิม หรือ
ข้อมูลในหัวที่มีเกี่ยวกับประเทศแห่งนี้ คือ เป็นประเทศที่ยังคงรักษาสิ่งเก่า ๆ
วิถีเดิม ๆ เรื่องราวแบบไทยเราเมื่อสัก 40 ปีก่อนหน้านี้
ส่วนผู้คนคิดว่าคงไม่แตกต่างจากเรามากนัก การสื่อสารคงไม่ยากสำหรับการคาดเดา
ส่วนอาหารการกินนั้น ก็คงมีอะไรแบบไทยเรานั่นเอง
แม้จะเคยมาประเทศแห่งนี้มาก่อนแล้วหลายครั้งก็ตาม
20 ตุลาคม 2562
เช้าแห่งวันอาทิตย์ คณะร่วมเดินมีรถตู้โดยสารและรถยนต์ส่วนบุคคล รวมแล้วประมาณ 30
คันเห็นจะได้ มุ่งสู่จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
เพื่อทำเรื่องผ่านแดน
แต่โชคดีของผม
ที่ได้นั่งรถยนต์ส่วนบุคคลกับท่าน ผอ.วรการ น้อยสงวน ซึ่งเป็นคนในพื้นที่
ได้มุ่งหน้าเข้าสู่วัดไพรพัฒนา ก่อน ด้วยมีเป้าหมายแรกคือการต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชา (ท่าน Brak sowan) ที่ท่านเดินทางมาพักผ่อนเป็นการส่วนตัวและกราบไหว้หลวงปู่สรวง ณ
วัดไพรพัฒนานี่เอง
ก่อนที่จะออกเดินทางไปสมทบกับคณะที่รออยู่ที่ด่าน
ใช้เวลาที่ด่านพอสมควร
ด้วยว่าคณะที่ร่วมเดินทางและรถที่เพิ่มจำนวนมากกว่าที่ได้แจ้งเอาไว้มาก
ทำให้ล่าช้าในการดำเนินการเอกสารในการข้ามพรมแดน แต่กระนั้นก็ไม่ใช่อุปสรรค์นัก
10.10 น.
ขบวนรถได้เคลื่อนจากช่องจวม อำเภออัลลองเวง ประเทศกัมพูชา (ข้ามมาจากช่องสะงำ
จังหวัดศรีสะเกษ) โดยรถต้องเดินเลนขวาของถนน
ระหว่างทาง สังเกตเห็นภูเขา ทุ่่งนา และต้นไม้ ผลไม้ต่าง ๆ อาทิ มะม่วง มะพร้าว มันสำปะหลัง ข้าวและอื่น ๆ
ที่ดูเหมือนว่าจะถูกจัดสรรเป็นแปลงไว้
บางแห่งยังคงเป็นสภาพที่โล่งไม่ได้มีการทำเกษตรใด ๆ สิ่งที่สังเกตเห็นนี้
เหมือนว่าที่ระหว่างทางเหล่านี้ เพิ่งถูกจัดสรรให้ทำการเกษตรได้ไม่นานนัก
หากคาดเดาด้วยสายตาคงไม่น่าเกิน 25 ปีก่อนหน้านี้เป็นแน่
ส่วนบ้านเรือนสองข้างถนนที่พานพบ กลับเป็นบ้านไม้ส่วนใหญ่
ชั้นครึ่งไม่สูงนักและมีรถยนต์ไถนาเดินตามประปราย และเมื่อผ่านพื้นที่ที่เป็นตำบล
ก็จะรับรู้ได้ด้วยการมีผู้คนสัญจรไปมาเยอะและมีร้านค้าขายของที่อยู่ติดถนน
11.35 น. โดยประมาณ
คณะได้มาถึงเป้าหมายแรก นั่นคือ วัดกุ๊กพลุ๊ก ต.โกนกรีล อำเภอสำโรง จ.อุดรมีชัย (Trapeang Tao,
Siemreab-Otdar Meanchey, Cambodia ) หรือพิกัดที่ https://www.facebook.com/places/sing-thi-txng-tha-ni-Trapeang-Tao-Siemreab-Otdar-Meanchey-Cambodia/115807325097101/
วัดที่เห็น
มีศาลาไม้หลังเก่า 1 หลัง ศาลาไม้หอฉัน 1 หลัง มีกุฏิไม้ และปูนที่อยู่ติดๆ
กันอีกจำนวนหนึ่ง และศาลาปฏิบัติธรรมที่สร้างเสร็จแล้วเป็นปูนและกระจกงดงาม
ด้านในสะอาดสะอ้าน และมีการก่อสร้างเป็นอุโบสถ
ที่ขึ้นโครงสร้างและก่อเป็นรูปร่างเป็นฐานไว้แล้ว และมีพื้นที่ว่าง ๆ
มีการปลูกข้าวที่กำลังออกรวงข้าว แก่แต่ยังไม่สุกนัก เป็นพันธุ์ผกาลำดวน
ข้าวพันธุ์พื้นถิ่นของชาวกัมพูชาที่นี่
การต้อนรับคณะ
มีนักเรียนแต่งชุดนักเรียน เสื้อขาวกางเกงขายาวสีดำ หากคาดคะเนด้วยสายตาแล้ว
มากกว่า 100
คนเป็นแน่ยืนเรียงรายสองข้างทางภายในวัดยกมือไหว้ผู้มาเยือนด้วยความยิ้มแย้ม
และมีคณะนักดนตรีพื้นบ้านที่มีการแต่งกายเป็นคล้ายมาสคอต ร่างใหญ่ 2 ตัว ที่เต้นไปตามจังหวะดนตรีที่ประโคมด้วยเครื่องดนตรีน้อยชิ้น
ประกอบด้วย กลองโทน ซอ และฉาบ
ในขณะเดียวกัน
มีการประดับด้วยธงที่แปลกตาภายในวัด ที่เหมือนนำผ้าหลากสี อาทิ สีเขียว สีแดง
สีขาว สีน้ำเงิน สีม่วง มามัดทำให้เกิดข้อสงสัยที่ไม่เคยเห็นเพราะแปลกตา
หากเป็นเมืองไทยจะพบเจอเพียงธงธรรมจักรสีเหลืองเท่านั้น
ทำให้เกิดข้อสงสัยเพื่อรอคำตอบ
และมีการขังธงที่ตัดเป็นสามเหลี่ยมขึงยาวตามเชือกด้านบน
ทำให้นึกถึงเมื่อยามเด็กเคยตัดกระดาษแก้วแล้วขึงในงานวัดบ้านนอกเรา
คณะมาถึง
เจ้าของพื้นที่คณะสาธุชนชาวกัมพูชาเองก็ยืนต้อนรับและมีการนำอาหารมาขึ้นโต๊ะ
นิมนต์พระคุณเจ้าจากประเทศไทยและกัมพูชา มาร่วมฉันภัตตาหารเพล และตามด้วยสาธุชน
อาหารการกินก็แบบบ้าน ๆ เหมือนเป็นกับข้าวที่ชาวบ้านนำมาจังหันเช่นนั้น
บ่ายโมงโดยประมาณ
เริ่มขบวนแห่กองกฐิน รอบอุโบสถและรอบทุ่งนาภายในบริเวณวัดก่อนเข้าสู่ศาลาหลังใหม่
ผู้คนเต็มแน่นอย่างเห็นได้ชัด มีการประกาศใช้เสียงจากคณะทั้งภาษาไทย
และภาษาเขมรถิ่นไทย สลับกับภาษาเขมรกัมพูชาเอง
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็สามารถฟังกันได้
คุณยายชาวเสียมเรียบ กัมพูชา
อายุ 70 ปี เล่าให้ฟังเป็นภาษาถิ่นเขมรกัมพูชา แปลได้ใจความว่า “คุณยายมาจากบ้านไซร ซนอม จังหวัดเสียมเรียบ
มีลูก 4 คนได้หลานกันหมดทุกคนแล้ว เขาก็แยกย้ายไปทำงานที่อื่นหมด จึงอยู่กับคุณตาแค่สองคนเท่านี้
เพราะถือว่าเป็นงานบุญใหญ่ เลยมาเอาบุญกับคณะ”
คุณยายชาวอุดรมีชัย กัมพูชา วัย
71 ปี กล่าวเป็นภาษาถิ่นเช่นกัน แปลได้ใจความว่า “มาจากบ้านจรืง สังกัดโกนกรีล เขตอุดรมีชัย พอรู้ว่าพี่น้องมาจากประเทศไทย
ก็มาด้วย ยายมาด้วยกันสองคน ขี่รถไถมาสองคนกับคุณตา จากบ้านมาที่วัดแห่งนี้ประมาณ
สามกิโลเมตร ซึ่งเดิมปีคุณยายเป็นคนที่เกิดที่เมืองไทย พ่ออยู่ศรีสะเกษ
แม่อยู่สุรินทร์ แต่ด้วยภัยสงครามเลยได้มาอยู่ฝั่งตรงนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเลย
อบอุ่นและติดตามข่าวคราวของพี่น้องจากฝั่งไทยที่มาเยี่ยมก็จะมาต้อนรับและมาหาแบบนี้ทุกครั้ง”
ในขณะที่เรื่องหลายเรื่องราวที่ได้สื่อสารกัน
มีหลายอย่างที่น่าสนใจไม่น้อย รวมไปถึงเรื่องข้าวที่ทางวัดก็ปลูกเอาไว้ในบริเวณวัดที่กำลังมีผลผลิตแต่ยังไม่พร้อมเก็บเกี่ยวนัก
ซึ่งเป็นข้าวจ้าวพื้นถิ่นของชาวกัมพูชา ชื่อว่า “ข้าวผกา ลำดวน” สำเนียงภาษาถิ่นเรียก
“ปะเกีย-ฮือตวลย์” หรือภาษาต่างชาติใช้คำว่า “Phka-Rumdoul” สูงประมาณ 120-130 ซม. นับว่าเป็นข้าวที่เคยคว้ารางวัลข้าวที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกันมาเป็นเวลา
3 ปี ระหว่างปี 2012-2014 เลยทีเดียว ในการประกวด “World Best Rice” ที่ใช้เกณฑ์ในการตัดสิน 5 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านกลิ่น รสชาติ
ความเหนียวนุ่ม ความชื้น และรูปร่างลักษณะของข้าว นั่นเอง
ไม่นานนัก เสียงประกาศตามสายเข้าลำโพงฮอร์น
ที่ตั้งบนเสาร์ไม้ไผ่หน้าศาลาก็ดังขึ้นด้วยสำเนียงภาษาไทย สลับกับภาษาถิ่นแจ้งบอกลำดับพิธีการทอดกฐิน
รวมถึงมีการเจริญพระพุทธมนต์ในสำเนียงด้วยบทสวดสำเนียงภาษาถิ่นกัมพูชา
ก็ดูมีมนต์เสน่ห์ขลังแบบกัมพูชาไม่น้อยเลย
อาจารย์วรการ น้อยสงวน ผู้นำคณะจากอำเภอภูสิงห์
จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า “การทำบุญทอดกฐินสามัคคีครั้งนี้
เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกัน
โดยกฐินนี้มีชาวกัมพูชาที่มาจากจังหวัดเสียมเรียบ จังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดบันเตียเมียนชัยและจังหวัดพระวิหาร
ราชอาณาจักรกัมพูชา ส่วนที่มาจากประเทศไทยก็นำโดยหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอไพรบึง
จังหวัดศรีสะเกษ และศิษยานุศิษย์ที่มีในเขตอำเภอภูสิงห์ อำเภอปรางค์กู่
อำเภอขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ รวมถึงจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ด้วย และได้ปัจจัยถวายกว่า
10 ล้านเหรียญกัมพูชา”
จากยอดกฐินทุกคณะรวมแล้ว
ได้สิบล้านกว่าเหรียญกัมพูชา จากทุกคณะสายบุญทั้งจากฝั่งไทยและกัมพูชาเอง
เมื่อภารกิจในศาลาหลังใหม่ในการดำเนินกิจการทางพิธีกรรมสงฆ์เรียบร้อยแล้ว
รถตู้ก็ทยอยเรียงแถวกลับยังจุดผ่านแดนถาวรช่องจวม อำเภออัลลองเวง ประเทศกัมพูชาเพื่อข้ามไปยังช่องสะงำ
อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทยเรา
เมื่อคณะส่วนใหญ่กำลังทยอยกลับ
ผมยังอยู่กับอีกคณะเล็ก ๆ ที่กำลังคุยกับคณะทางวัดยังไม่พร้อมกลับนัก
จึงได้เดินทางไปต่ออีกประมาณ 30 กม. ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอเดียวกันนั้น เป้าหมายคือที่ว่าการอำเภอสำโรง
ที่กำลังมีการแข่งขันเรือประจำปีของที่นี่ มีผู้ใหญ่ของประเทศหลายจังหวัดในกัมพูชาเหนือมาร่วมในงานครั้งนี้ด้วย
ในขณะเดียวกันวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ทำให้ได้เรียนรู้วิถีของผู้คนที่นี่ด้วย และที่แห่งนี้ก็มีลานกิจกรรมให้เด็ก
ๆ ได้มาใช้พื้นที่สนุกสนานรวมถึงจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างมาก ปักหมุดสถานที่แข็งขันเรือประจำปีของอำเภอสำโรง
Somrong, Siemreab-Otdar Meanchey, Cambodia https://www.facebook.com/places/sing-thi-txng-tha-ni-Somrong-Siemreab-Otdar-Meanchey-Cambodia/110330342319057/?__tn__=kC-R
“วันอาทิตย์ เป็นวันครอบครัว
ชาวกัมพูชาจะถือว่าเป็นสำคัญอย่างมาก จะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันเป็นครอบครัวเลย
ดูครึกครื้นมาก ผู้คนมากมาย มีสินค้าที่วางแบกะดิน มีบูธอาหารของกินมากมาย มีผลไม้ด้วย
อย่างเช่น น้ำมะพร้าวที่เราซื้อกินนี่ 3 ลูก เป็นเงิน 100 บาทไทย
ซึ่งเขาก็รับมาจากประเทศไทยนี่เอง” หนุ่มหน้ามนคนภูสิงห์ วัย 40 ปี
ที่มาด้วยกันเล่าให้ฟังถึงบริบทคนกัมพูชาในวันหยุดพักผ่อนเช่นนี้
ครั้นเวลาก็ล่วงเลยผ่านได้เวลา
สี่โมง เราก็พากันเคลื่อนจากอำเภอสำโรง จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ขณะกลับเราพบเห็นรถที่เสมือนหนึ่งรถโดยสารประจำทางของผู้คนที่ขนเพื่อนบ้านและครอบครัวไปทั่วกันในเลนตรงกันข้ามกับเรา
นั่นก็คือ รถแต็กแต๊ก หรือรถไถนาพ่วงบ้านเราที่บันทึกผู้โดยสารเต็มคันรถเกือบทุกคัน
ทำให้รับรู้ถึงความอบอุ่นแบบบ้าน ๆ รวมถึงรถมอไซค์ หรือที่นี่จะเรียกกันว่า “โมโต”
ที่พ่วงด้วยการบรรทุกสินค้าต่าง ๆ เหมือนกับรถกระบะบ้านเราเช่นนั้นเลย ทำให้รู้ถึงคุณค่าของสินค้าที่ตัวเองมีเลย
ใช้ได้คุ้มค่ามาก ๆ
ประเทศกัมพูชา ทำให้ผมได้พบเจอผู้คนมากมาย
หลากภาษา หลายสิ่งที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยรู้ได้รับรู้และสัมผัสในการเดินทางครั้งนี้
ซึ่งก็นับว่าเป็นอีกครั้งของการเดินทางที่มีค่ามาก
และคิดว่าที่นี่ยังมีอะไรให้ได้เรียนรู้ ชวนมาสัมผัสอีกไม่น้อยเลย และไม่นานนี้คงได้มีโอกาสเดินทางมาร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งนี้อีก
ผมสัญญากับความรู้สึกตัวเอง
บันทึกช่วยจำกับตัวเองในวันเดินทางสู่ดินแดนอารยธรรมขอมโบราณ
ประเทศกัมพูชา
ขอบคุณทุกความอบอุ่น และขอบคุณทุกท่านที่เมตตาผมตลอดการเดินทาง
ฮักแพงครับผม
วีดิโอลิงค์ youtube :
ฮักแพงครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น