ศรีสะเกษ – พื้นเพชุมชนไทลาวเวียง(จันทร์) นำวัตถุดิบในชุมชนมาย้อมสีธรรมชาติสร้างรายได้เพิ่มให้คนในชุมชนที่บ้านหนองโนและใกล้เคียงอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ
เรื่อง-ภาพ โดย ขวัญชิต โพธิ์กระสังข์
น่าจะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ไม่ไกลนักจากบ้านเกิดมายังอีกฟากหนึ่งของศรีสะเกษ ระยะทางตามพิกัดของ GPS ที่พาผมมา
104 กิโลเมตร ซึ่งใช้ระยะเวลาร่วม 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ด้วยเป้าหมายครั้งนี้ได้ทราบข่าวจากแชทไลน์และข้อความที่ผ่านมาว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นกำลังมีกิจกรรมขึ้นเท่านั้น
และเป็นพื้นที่ที่ผมเองกำลังสนใจอยู่พอดี เลยไม่รอช้าที่จะออกไปร่วมเรียนรู้ด้วย
จากขุนหาญ
ต้องมุ่งสู่ตัวเมืองศรีสะเกษ และไปยังทิศตะวันตกตามถนนสู่อุทุมพรพิสัย-รัตนบุรี ทางทิศตะวันตก
หากไปเป้าหมายเราอยู่ก่อนถึงพื้นที่อำเภอรัตนบุรีแห่งเมืองสุรินทร์
ณ พื้นเพแห่งตำบลเสียว
อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณนั้น เป็นคนลาวเวียงมาก่อน อพยพมาเมื่อครั้งอดีต
และบางส่วนเป็นชนเผ่ากูย (ซึ่งบางหมู่บ้านที่เป็นกูยก็ยังคงมีอยู่)
สิ่งที่น่าสนใจหลักของพื้นที่แห่งนี้
คือป่าชุมชนจำนวน 2,224 ไร่
ซึ่งป่าชุมชนแห่งนี้ยังกว้างใหญ่มีอาณาเขตอยู่ในพื้นที่ตำบลใกล้เคียงด้วย 2 ตำบล
คือ ตำบลเสียว 3 ชุมชน และตำบลอีเซ อีก 2 ชุมชน
ป่าชุมชนขนาดใหญ่
มีต้นไม้ใหญ่น้อยเรียงรายตามสภาพป่าชุมชนหนาทึบทั่วอาณาบริเวณ
ซึ่งนับว่าเป็นป่าชุมชนที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งของศรีสะเกษเลยทีเดียว
เข้าไปด้านในจะมีความเย็นสบาย เสียงจากสัตว์น้อยใหญ่ส่งเสียงทักทายเป็นระยะ
“ไม่พะยูง
กะพึ่งถืกตัดไปแต่จับไผเฮ็ดบ่ได้ หลายกกอยู่ สงสัยย้อนว่ากกมันใหญ่พอมันตัดแล้วขนเอาไปบ่ได้
สุดท้ายเลยเห็นรถของรัฐมาขนไปดำเนินการ”
คำพูดจากคุณตาท่านหนึ่งที่เล่าให้ฟังเรื่องเกี่ยวกับไม้วิเศษดังกล่าว
“มีหลายคัก แนวกิน ทั้งเห็ด
ทั้งมัน ทั้งแมง โดยเฉพาะเห็ดนี่ มีคนมาหาประจำ บ่ได้มีแต่คนไทบ้านเฮาดอก
ทังอื่นกะมาหาคือกัน หลายโพด ได้ขายมือละหลายบาท แมงจี่โป่มช่วงนี้กะมีหลายคือกัน ลังคนได้มื้อละเกือบพันบาทพุ้นแล่ว” คุณตาท่านเดิม พูดถึงสิ่งที่เกิดในป่าชุมชนของตัวเอง
ป่าชุมชนดังกล่าว
ฝั่งที่เข้าไปนี้ ออกจากบ้านหนองมโนรมย์ หมู่ที่ 15 ต.เสียว ไปราว 500
เมตรเท่านั้น โดยบริบทถนนเข้าไปก็ค่อนข้างเป็นถนนดินและมีที่นาปลูกข้าวที่รอพร้อมการเก็บเกี่ยวในเร็ววันนี้
คราเมื่อย้อนเข้ามาในหมู่บ้าน
เรากลับพบเจอหมู่บ้านที่แปลกตาแตกต่างจากบ้านของเราพอสมควร
เรื่องความสะอาดตั้งแต่ถนนหนทาง ถึงตัวอาคารบ้านเรือน และในพื้นที่ตัวบ้านเอง
เพราะหากเปรียบเทียบกับหลายหมู่บ้านที่แม้จะได้รับงบพัฒนาจากโครงการต่าง ๆ
ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงก็อาจจะแตกต่างจากที่นี่เหมือนกัน จึงแอบหลอยเดินไปตามถนนซอกเล็ก ๆ คุยเล่นกับชาวบ้านพอสมควร
และสังเกตด้วยสายตาแม้ในตามถนนท้ายหมู่บ้านนั้น ๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและให้กำลังใจเหมาะกับการได้เรียนรู้ไม่น้อย
อีกสิ่งที่ได้เห็น
เนื่องจากคงเพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียนหรือว่าเป็นวันหยุดก็ตาม ได้เห็นเยาวชนวัยประถม
วัยมัธยมล้อมวงเล่นกันตามถนนอย่างสนุกสนานที่ดูกี่ครั้งก็ไม่ใช่การจัดฉากใด ๆ
ทำให้รับรู้ได้ถึงวิถีบางอย่างที่ถูกซึมซับของผู้คนที่นี่
หน้าศาลากลางหมู่บ้าน
หมู่ที่ 15 ของตำบลเสียว มีการตากข้าวบนผ้าแญง กองเล็ก ๆ ไม่ยาวนัก
บ่งบอกว่านี่คงได้เกี่ยวก่อนใคร และด้านหลังศาลาแห่งนี้ก็คือ
บ้านของผู้นำชุมชนนั่นเอง
“เฮาเอาเปือกไม้มะดันมาต้มแล้วเอามาย้อมผ้า
ซึ่งย้อมได้ทั้งผ้าไหมและผ้าผ่าย (ฝ้าย) แล้วกะย้อมได้ทั้งเสื้อทั้งโต
หรือสิย้อมเฉพาะเส้นไหม เส้นผ่ายเองกะได้ ปกติสิย้อม 1-2 น้ำท่อนั้น” คำบอกและแนะนำให้ทราบของผู้ใหญ่สิริวรรณ
อุ่นอบ ที่ยืนต่อหน้าหม้อที่กำลังต้มด้วยเปลือกมะดันในสภาพจวนเดือดให้ฟัง
พร้อมทั้งนำผ้าที่ย้อมด้วยเปลือกมะดันและเส้นไหมที่ย้อมด้วยมะดันให้ดู
“ก่อนหน้านี้
ผู้เฒ่าบ้านเฮาเพิ่นมักสานกะต่า สานไม้กวดเอาไว้ไซ้
แต่ตอนนี้กะมีการตำผ้าไหมและย้อมสีธรรมชาติเข้ามานำนี่ล่ะ”
ท่านผู้ใหญ่คนเก่งเล่าให้ฟังอีกครั้ง
.
นี่คงเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาพอสมควร
แต่เวลาที่ได้สำรวจพื้นที่ก็สั้นนัก พระอาทิตย์อัศดงเสียแล้ว
ได้เวลาที่เราจะขยับตัวเองออกจากพื้นที่
ซึ่งครั้งนี้แม้เวลาจะน้อยนัก
แต่ทำให้ได้พบเจอสิ่งใหม่ ๆ ได้พูดคุย ได้พบเจอ ได้เรียนรู้ ได้เห็นอะไรมากมาย
ความเอาใจใส่ การต่อสู้ ความน่ารัก
เกิดจากการที่เราน้อมให้เกียรติพื้นที่นั้น
ๆ
ป่าชุมชนก็ดี ความสะอาดก็ดี
การทอผ้าการย้อมสีธรรมชาติก็ดี เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พบเจอและประทับใจ
แต่ยังมีอีกมากมายที่ไม่ได้บรรยายไว้ ณ แห่งนี้ ขอไว้มีโอกาสมาเยือนอีกสักครั้งหรือหลายครั้ง
คงได้มีอะไรมาร่ายยาว ๆ อีกหน
.
อยู่ดีมีแฮง ครับ
อยู่ดีมีแฮง ครับ
บันทึกการเดินทางเมื่อครั้งเดินทางวันศุกร์ที่
25 ตุลาคม 2562
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น