สุรินทร์ : หมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปี อนุรักษ์ควายไทยพื้นบ้าน
บ่อยครั้งที่ผมได้เดินทาง
และได้พบเจอผู้คน สัมผัสเรื่องราวต่าง ๆ และการได้จบเจอนั้นทำให้ได้เรียนรู้
แลกเปลี่ยน ได้เข้าใจว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ เราเป็นเพียงแค่เศษธุลีเล็ก ๆ
เท่านั้นเอง
และที่นี่ บ้านกันตรง ต.บึง
อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ได้มาสัมผัสทั้งผู้คนและเรื่องราวที่นี่
เสมือนเป็นบ้านของผมก็ไม่ปาน เพราะที่นี่สื่อสารกันด้วยภาษาเดียวกับผม นั่นคือ
ความเป็นกูย,กวย เหมือนกัน แต่ใช่ว่าจะสื่อสารเหมือนกันทุกคำไม่ มีหลายคำที่ใช้ไม่เหมือนกัน
แต่ก็นั่นล่ะ ทำให้ผมได้ภูมิใจได้เรียนรู้กับความแตกต่างไปด้วยในที
ที่นี่แปลกจากที่อื่นตรงที่
มีควายเป็นจำนวนมาก หรือที่ภาษาถิ่นจะเรียกกันว่า “เตรี๊ยะ” และเป็นควายดั้งเดิมที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานมาหลายชั่วอายุคน
โดยไม่มีการทำผสมเทียมหรือกรรมวิธีแบบสมัยใหม่ ซึ่งที่ว่าจำนวนมากนั้น ประมาณ 300
กว่าตัว จากครัวเรือนเพียง 132 ครัวเรือน
“เมื่อก่อนนั้นหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านสกปรกมาก
มีแต่ขี้ควายตามถนนหนทาง แต่เดี๋ยวนี้พัฒนามากแล้ว ชาวบ้านเราเลี้ยงควายเพื่อใช้แรงงานมันทำนา มีควายกันทุกครอบครัว
เลี้ยงกันแบบผูกพันกันด้วย เชื่องและเรียนรู้งานที่มันจะต้องทำ
แต่ก็เลี้ยงกันคนละไม่มากนัก สำหรับครอบครัวไหนที่มีมากหน่อยจะได้เปรียบคือสามารถนำควายไปให้ครอบครัวอื่น
หมู่บ้านอื่นที่เขาไม่มีควายนำไปใช้ทำการเกษตรแล้วรับค่าตอบแทนเป็นข้าวเปลือก ฤดูกาลละ
30-40 ถัง ตามแต่จะตกลงกัน แต่วันเวลาผ่านไป ควายที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนหน้าที่ไปโดยมีเครื่องจักรเข้ามาทำหน้าที่แทนมัน
มันก็เลยสบายไม่ต้องทำงานอะไร
แต่ชาวบ้านเราก็ยังคงเลี้ยงไว้ด้วยความผูกพันและเอาไว้ขายในการจับจ่ายขายเป็นค่าเล่าเรียนลูกหลานหรือใช้ในการทำกิจการอื่น
ๆ ของครอบครัวไป โดยในช่วงหน้าทำนาแบบนี้ ควายจะถูกขังในโรงเรือนหรือคอกเป็นหลัก
เจ้าของมันต้องไปเกี่ยวหญ้าตามคันนาบ้าง หรือหญ้าที่ปลูกไว้ในสวนมาให้มันกินบ้าง
หรือมีฟางอัดไว้บ้าง และพอเวลาบ่าย ๆ เย็น ๆ ก็จะพากมันไปลงน้ำที่ท้ายหมู่บ้าน หนองน้ำ
ปะกัง เพื่อให้มันผ่อนคลาย
โดยแต่ละครอบครัวจะทยอยกันออกไป ไล่เลี่ยกัน พอควายได้เล่นน้ำพอใจแล้วมันก็จะพากันขึ้นแล้วเดินกลับไปโรงเรือนมันโดยมีเจ้าของมันคอยเดินตามไล่มันไป”
พร อุตส่าห์ดี ปราชญ์ชาวบ้านแห่งบ้านกันตรง
เล่าที่มาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงให้ผมฟัง
ที่นี่นิยมเลี้ยงควายไม่นิยมเลี้ยงวัว
แม้จะมีบ้างที่นำมาเลี้ยงด้วยกัน แต่ก็โดยรวมแล้วมีวัวทั้งหมู่บ้านไม่น่าจะถึง 10
ตัว
และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นแห่งบ้านกันตรง
โดยการคิดตามว่า ถ้ามีควาย แล้วต้องมีมูลคือขี้ควาย
และมันต้องมีการทำเกษตรที่สุดยอดแน่ ๆ หากนำไปสู่การทำเกษตรที่ผสมผสานหรือแปรรูปสู่การเกษตรในรูปแบบอื่น
ๆ ด้วย
แล้วการเกี่ยวหญ้า
การปลูกหญ้า การหาอาหารให้มัน การปล่อยมันไป การเลี้ยงมัน ความผูกพันระหว่างเจ้าของกับควาย
หรือการส่งต่อไปยังลูกหลานในยุคที่เทคโนโลยีใกล้ตัวกับคนขนาดนี้ ควายแห่งบ้านกันตรงจะอยู่ต่ออย่างไร
ใครจะเลี้ยงต่อไหม อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
.
ขวัญชิต โพธิ์กระสังข์
14 ส.ค. 2562
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น